ข่าวประชาสัมพันธ์
เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยและผู้แทนถาวรในเอสแคปกล่าวถ้อยแถลง ใน การประชุมสุดยอดด้านนโยบายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 1 ณ กรุงนิวเดลี
เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยทำหน้าที่ประธานสมัยประชุม ในระหว่างประชุมคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 80 และการเปิดตัวสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับความร่วมมือทางวิชาการ
ฯพณฯ ซี เอ ชามินดา ไอ โคโลนเน่ เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยและผู้แทนถาวรในคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific) (เอสแคป) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนศรีลังกาเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 80 ในระหว่างวันที่ 22-26 เมษายน 2567 ณ กรุงเทพฯ ซึ่งการประชุมครั้งนี้กำหนดหัวข้อของการประชุมคือ “การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางด้านดิจิทัลเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Leveraging digital innovation for sustainable development in Asia and the Pacific)” โดย ฯพณฯ ซี เอ ชามินดา ไอ โคโลนเน่ ได้รับคัดเลือกให้ทำหน้าที่รองประธานของการประชุมเอสแคป ครั้งที่ 80
สถานเอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับศรีลังกา และโอกาสการลงทุนในศรีลังกา
เมื่อเร็วๆ นี้ สถานเอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการจัดกิจกรรมภายใต้หัวข้อ “ศรีลังกา: อนาคตสำหรับการลงทุน” ณ ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับศรีลังกาและส่งเสริมโอกาสด้านการลงทุนในประเทศศรีลังกา
เมื่อเร็วๆ นี้ ฯพณฯ วี เอ ชามินดา ไอ โคโลนเน่ เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยและผู้แทนถาวรในคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific) (เอสแคป) ได้กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิด การประชุมสุดยอดด้านนโยบายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 1ณ ศูนย์การประชุมด้านถิ่นที่อยู่ของพืชและสัตว์ของอินเดีย (India Habitat Centre) กรุงนิวเดลี ทั้งนี้ เป็นไปตามคำเชิญของสภาวิจัยด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของอินเดีย (Indian Council for Research on International Economic Relations) ซึ่งการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือของสภาวิจัยด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของอินเดียและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียใต้และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
สภาวิจัยด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของอินเดียเป็นหน่วยงานด้านคลังสมองทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่จัดตั้งขึ้นในปี 2524 โดยการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้เชี่ยวชาญที่สำคัญ และเป็นการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือ รวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานที่เป็นเลิศระหว่างกัน
เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเป็นที่อยู่ของประชากรร้อยละ 60 ของประชากรโลกที่มีภูมิประเทศ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่หลากหลาย ความก้าวหน้าทางด้านดิจิทัลนับจากพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ จนกระทั่งการเงินดิจิทัล ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้เป็นอย่างมากในภูมิภาคนี้ ซึ่งถือว่าเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาที่เท่าเทียมกัน โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีจำนวนร้อยละ 64 ซึ่งมีมากกว่าผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนเท่ากับ 1,500 ล้านคน
เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยยังได้เน้นย้ำว่า เศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศที่พัฒนาแล้วได้มีส่วนเสริมสร้างโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ถึงประมาณร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ขณะที่การมีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศศรีลังกาในปัจจุบันมีส่วนส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เพียงร้อยละ 5 (หรือประมาณ 3,700 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ) เป็นผลให้รัฐบาลของประเทศศรีลังกาประกาศวิสัยทัศน์เปลี่ยนแปลงประเทศเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืนด้วยการยกระดับการใช้เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า โดยการนำเสนอแผนงานเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Transformation Acceleration Program – DIGIECON 2030) ซึ่งมีการเปิดตัวแผนงานในเดือนพฤศจิกายน 2566 โดยจะใช้เวลาในการดำเนินการตามแผนงาน 7 ปี ทั้งนี้ คาดหมายว่า ประเทศศรีลังกาจะมีรายได้จากการเปลี่ยนประเทศเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลในปี 2573 เป็นเงินจำนวน 15,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ยุทธศาสตร์ชาติทางด้านดิจิทัลของประเทศศรีลังกาในปี 2573 จะช่วยสนับสนุนการเสริมสร้างเสาหลักสำคัญที่เกี่ยวกับภาคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ซึ่งการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติทางด้านนี้จะช่วยให้สามารถเร่งรัดการพัฒนาประเทศเข้าสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2591 ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ ประเทศศรีลังกาจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในด้านต่างๆ ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจเพื่อที่จะช่วยขับเคลื่อนการส่งออกและการหารายได้จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การสร้างงานที่มีรายได้ค่อนข้างสูงสำหรับเยาวชน สตรี และชาวชนบท และการให้บริการสาธารณะที่น่าเชื่อถือและเป็นธรรมกับทุกคนและทุกสถานที่ ทั้งนี้ กรอบการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์นี้จะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับด้านต่างๆ ได้แก่ การเชื่อมต่อผ่านโครงข่ายสื่อสารความเร็วสูง (Broadband connectivity) ระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital infrastructure) การทำธุรกรรมดิจิทัล (Digital transactions) การป้องกันภัยทางดิจิทัล (Digital safeguards) อุตสาหกรรมดิจิทัล งานอาชีพ และทักษะฝีมือ (Digital industry, jobs and skills) และการเร่งผลักดันให้มีการแปลงข้อมูลเป็นรูปแบบดิจิทัล (Acceleration of digitization) ซึ่งในปัจจุบันประเทศศรีลังกามีอัตราการเติบโตของการเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลอยู่ที่ร้อยละ 4.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ทั้งนี้ หากสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตในส่วนนี้ให้ได้ถึงร้อยละ 20 จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเป็นประเทศเศรษฐกิจดิจิทัลได้เร็วขึ้น ดังนั้น ประเทศศรีลังกาจึงมีการจัดสรรงบประมาณในปี 2566 จำนวน 3,000 ล้านรูปี เพื่อดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล
ในเรื่องนี้ เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กระทรวงเทคโนโลยีของศรีลังกามีบทบาทสำคัญในการเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในระหว่างการดำเนินการตามแผนงานเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่มีระยะเวลาดำเนินการ 7 ปี โดยการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่กว้างขวางระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน การวางรากฐานที่จำเป็นของหน่วยงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของศรีลังกา การจัดตั้งศูนย์ปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Centre for Artificial Intelligence, Technological Innovation Council) และระบบเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Universal Digital Identity Platform)
เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยกล่าวว่า ประเทศศรีลังกาเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียใต้และเป็นประเทศลำดับสองในภูมิภาคเอเชีย (รองจากประเทศสิงคโปร์) ที่จะเป็นรัฐภาคีในการประชุมว่าด้วยการใช้การติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ในสัญญาระหว่างประเทศที่กำหนดขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ (UN Electronic Communication Convention) ภายหลังจากการแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับที่ 25 ปี 2560 เพื่อเป็นหลักประกันทางด้านกฎหมายให้แก่ผู้ให้บริการทางด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับกฎหมายอื่นๆ ประกอบด้วย ได้แก่ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฉบับที่ 24 ปี 2550 พระราชบัญญัติทรัพย์สินทางปัญญา ฉบับที่ 36 ปี 2546 พระราชบัญญัติเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ฉบับที่ 27 ปี 2546 พระราชบัญญัติระบบการชำระเงินและการชำระหนี้ ฉบับที่ 28 ปี 2548 และพระราชบัญญัติการฉ้อโกงในอุปกรณ์การชำระเงิน ฉบับที่ 30 ปี 2549
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินงานโครงการต่างๆ อาทิ การเสริมสร้างสมรรถนะทางด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับสตรีที่มีบทบาทนำในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภูมิภาคเอเชียใต้ (ซึ่งดำเนินการโดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียใต้และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) โครงการหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์ในประเทศศรีลังกา (ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ของไทย) และการปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีดิจิทัลโดยอาศัยความร่วมมือแบบ 3 ฝ่ายและความร่วมมือในกรอบใต้-ใต้ ทั้งนี้ จะเป็นโอกาสการเสริมสร้างการทำงานร่วมกัน การพัฒนาความเชี่ยวชาญ การส่งเสริมความร่วมมือในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร และการสนับสนุนนโยบายด้านการปรับปรุงมาตรฐานในพื้นที่ที่แตกต่างกัน
ในระหว่างพิธีเปิดการประชุม มีบุคคลที่ได้รับเชิญให้มากล่าวถ้อยแถลงอาทิ 1) นายปราโมทย์ ภาสิน ประธานอำนวยการการจัดประชุมสุดยอดด้านนโยบายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 1 2) นายซานโตช กุมาร์ ซาลังกี เลขาธิการฝ่ายบริหารและอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศในสังกัดกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย และ 3) นายเช รธา เลขาธิการแห่งรัฐ กระทรวงพาณิชย์กัมพูชา
นอกจากนี้ ยังมีแขกผู้มีเกียรติที่ได้กล่าวในพิธีเปิดการประชุมอีก 2 คน ได้แก่ 1) นายมิกิโกะ ทานากะ ประธานร่วมและกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียใต้และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ 2) ศาสตราจารย์ ดร.อาภิตา มุกเคอร์จี ผู้แทนระดับสูงสภาวิจัยด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของอินเดีย ส่วน 3) ดร. ดีภัค มิชรา กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สภาวิจัยด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของอินเดีย เป็นผู้กล่าวแสดงความขอบคุณผู้จัดงาน
ในการดำเนินการอภิปรายกลุ่มมีการจัดแบ่งเป็น 4 กลุ่มตามหัวข้อย่อย ได้แก่ 1) การอำนวยความสะดวกทางด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดนให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Facilitating a Robust Framework for Cross-Border E-Commerce to enable MSMEs) 2) การประสานสัมพันธ์กับผู้กำหนดนโยบายทางด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการส่งออก: การสร้างความมั่นใจทางด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในยุคของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Interaction with Policymakers on E-commerce an enabler from Growth and Exports: Ensuring Consumer Protection in the Age of E-commerce) 3) การค้าผ่านทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการไหลเวียนของข้อมูลข้ามพรมแดน (E-commerce Trade and Cross-border Data Flows) 4) การอภิปรายเชิงสร้างสรรค์ในประเด็นด้านเทคโนโลยีการชำระเงินสำหรับเทคโนโลยีล่าสุดที่เกี่ยวกับการชำระเงินในองค์กรภูมิภาคเอเชีย-แปซฟิกว่าด้วยการรับรองระบบงาน โดยสื่อทางสังคมจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างไร (Interactive Discussions on Emerging Payment Technologies in APAC: How social media is transforming E-commerce)
ในระหว่างการอภิปรายกลุ่ม มีผู้เข้าร่วมประชุมที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์หลายท่าน ได้แก่ 1) อดีตเลขาธิการของรัฐกรณาฏกะ 2) ประธานและผู้ก่อตั้งแพล็ตฟอร์มระดับโลกทางออนไลน์สำหรับสมาคมผู้ประกอบการสตรี 3) นายรัทนา ประภา ตัวแทนของแบรนด์ระดับโลก 4) นายสุมันตา ชอทหุรี อดีตเลขาธิการของรัฐและผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ 5) ดร.ราจัน สุเดช รองหัวหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานในคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียใต้และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ 6) นายโลเกช กุมาร์ ผู้จัดการทั่วไปของธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกของอินเดีย 7) ดร.ดองฮุน ปาร์ค ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย 8) ดร.ฤภา จันดา ผู้อำนวยการด้านการค้า การลงทุน และนวัตกรรมของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก 9) อดีตกรรมการผู้จัดการของธนาคารภาราติยา รีเสริฟ และ 10) บุคคลที่มีชื่อเสียงทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศและการค้า ความมั่นคงทางไซเบอร์ สื่อทางสังคม นวัตกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ของไทยและอินเดียร่วมกล่าวถ้อยแถลงด้วย ได้แก่ 1) นางสาวพริ้วแพร ชุมรุม ประธานคณะเจรจาความตกลงว่าด้วยกรอบการดำเนินงานเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน และ 2) ดร.ฮินดอล เซ็งกรุ๊ปตา ประธานด้านยุทธศาสตร์และโครงการส่งเสริมการลงทุนในอินเดีย สังกัดกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้าภายในของอินเดีย
สถานเอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทย
กรุงเทพมหานคร
09. พฤษภาคม 2567
เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยทำหน้าที่ประธานสมัยประชุม ในระหว่างประชุมคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 80 และการเปิดตัวสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับความร่วมมือทางวิชาการ
ฯพณฯ ซี เอ ชามินดา ไอ โคโลนเน่ เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยและผู้แทนถาวรในคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific) (เอสแคป) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนศรีลังกาเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 80 ในระหว่างวันที่ 22-26 เมษายน 2567 ณ กรุงเทพฯ ซึ่งการประชุมครั้งนี้กำหนดหัวข้อของการประชุมคือ “การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางด้านดิจิทัลเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Leveraging digital innovation for sustainable development in Asia and the Pacific)” โดย ฯพณฯ ซี เอ ชามินดา ไอ โคโลนเน่ ได้รับคัดเลือกให้ทำหน้าที่รองประธานของการประชุมเอสแคป ครั้งที่ 80
สถานเอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับศรีลังกา และโอกาสการลงทุนในศรีลังกา
เมื่อเร็วๆ นี้ สถานเอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการจัดกิจกรรมภายใต้หัวข้อ “ศรีลังกา: อนาคตสำหรับการลงทุน” ณ ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับศรีลังกาและส่งเสริมโอกาสด้านการลงทุนในประเทศศรีลังกา